วันศุกร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ช้าง (ไทย) ฤาจะเหลือไว้แต่เพียงนาม

ช้าง (ไทย)
ฤาจะเหลือไว้แต่เพียงนาม 

                   ผมเฝ้ามองความเป็นไปของสังคมไทยแล้วรู้สึกสลดรันทดพิกล รับฟังความวิบัติของสัตว์ชนิดหนึ่ง ซึ่งผูกพันและสร้างชื่อหรืออาจจะมีส่วนถึงขั้นสร้างชาติก็ว่าได้ ความวิบัติแห่งเผ่าพันธุ์ของเขามิใช่เพิ่งกำเนิด หากแต่เกิดมาเนิ่นนาน นับเนื่องก็หลายทศวรรษแล้วจวบจนกระทั่งบัดนี้

สัตว์ที่ผมจะเล่าขานก็คือ ช้าง

        ปกติวิสัยในธรรมชาติ ช้างนั้นถือว่าเป็นสัตว์ป่า มิหนำซ้ำยังเป็นสัตว์บกที่ใหญ่ที่สุดอีกด้วย แต่จากกรรมยุทธวิธีของมนุษย์ตามพื้นที่ต่างๆ จะมีรูปแบบการล่าช้างและจับช้างอันมีวัตถุประสงค์คล้ายคลึงกัน เพื่อนำมาเป็นสัตว์พาหนะประจำบ้านเมือง ไม่ว่าเขมร ส่วย กะเหรี่ยง พม่า อินเดีย ขอม ลาว ล้านนา ล้านช้าง แม้แต่ชนชาวป่า ณ ทวีปแอฟริกาบางเผ่า โดยต่างฝ่ายต่างมีรูปแบบเป็นเอกลักษณ์จำเพาะ

        สำหรับประเทศไทย บรรพบุรุษของเรานอกจากจะฝึกช้างทำสงครามโดยยกย่องให้เป็นเอกจาก จัตุรงคพล คือ พลราบ พลรบ พลม้าและพลช้าง แล้วเถิดถือช้างเผือกให้เป็นยอดแห่งช้าง ถึงกับแบ่งเป็นหกพงศ์ (บ้างก็ว่ามีห้าพงศ์) แปดสิบสองหมู่ ในรัชกาลที่ 2 ถึงรัชกาลที่ 6 ช่วงต้น ประเทศไทยเราใช้ธง (มีรูป) ช้างเผือกเป็นสัญลักษณ์ธงชาติ รัชสมัยของพระเจ้าแผ่นดินองค์ใด หากปราศจากช้างเผือกประดับบุญญาบารมีแล้ว นับเนื่องเป็นเรื่องเสื่อมเสียพระเกียรติยศไม่น้อย การสงวนช้างเผือกล้วนเป็นสิ่งจำเป็นสูงสุด

        วรรณคดีไทยแทบทุกเรื่อง จะมีการกล่าวพากพันถึงช้างไว้เสมอ ที่บ่งบอกเป็นกึ่งนามกึ่งตำราไว้ก็คือลิลิตยวนพ่าย สมัยพระบรมไตรโลกนาถอันเป็นวรรณคดีเลื่องชื่อเรื่องหนึ่ง โดยเริ่มตั้งแต่บทที่ 209 ถึงบทที่ 246 ดังบางตัวอย่างดังนี้ (แต่งเป็น โครงดั้นบาทกุญชร)
ขัยพระพิเศษล้ำ เลอหาญ
สรรพเครื่องคชาภรณ์ เพริศแพร้ว
เชษฏ์พระพิศาลสา- มรรถแว่น ไวแฮ
ทานพระพิสุทธแกล้ว แกว่นรณ
พิษณุพระกรแกว่นซ้าย สงคราม
พรพระกรรม์ ไกรกล วาดไว้
พรรณพระเกตุเงื่อนงาม โสภาศ
เพศพระกาลควรไท้ แทบองค์


        นอกจากจะกล่าวถึงช้างเผือกแล้ว วรรณคดีเรื่องนี้ยังพูดถึงช้างลักษณะชั่ว อันเป็นอัปมงคลไว้ถึง 33 ชนิด เช่น

        พาหล มีนิสัยดุร้าย, สิงคาล ดื้อรั้นฝึกยากยิ่ง, ระลมสังไก เลี้ยงไว้มีแต่หายนะ, สุครีพ คอเล็กไม่สมตัว,ยุรยักษ์ เดิมเหมือนยักษ์, กันทุย ตื่นตระหนกง่าย, ชีพศฤงสวามิพร ประทุษร้ายเจ้าของ, กันเอก ไร้ความงามสง่า, นครฆาต ทำให้บ้านเมืองฉิบหาย ฯลฯ.

        วรรณคดีที่ส่วนมากเรายึดถือเค้าโครงแบบอย่างมาจากอินเดียจะมีเทพเจ้าสำคัญ 3-4 องค์ที่เกี่ยวข้องกับช้าง ซึ่งไทยก็รับไว้ไม่เปลี่ยนแปร ได้แก่ พระอินทร์ มีพาหนะประจำองค์คือ ช้างเอราวัณ เกิดจากเทวบุตรนินมิตตัวมี 33 เศียร เป็นช้างเผือกขนาดมโหฬารปานมหาสมุทร อีกองค์หนึ่งก็คือ พระพุธ ทรง ช้างสาร และ พระพิฆเนศ ที่เศียรเป็นช้าง

        สำหรับวรรณคดีทางพระพุทธศาสนา ก็มีช้างดังๆ ประจำชาดกหลายตอน เช่น พญาฉัททัต์ ผู้ยอมเสียงาให้นายพรานจนสิ้นชีวิต เพื่อบำเพ็ญศีลบารมีปางเสวยชาติเป็นพระโพธิสัตว์ อีกเชือกหนึ่งก็คือ ปัจจัยนาค ซึ่งพระเวศสันดร ทรงเสียสละให้ 8 พราหมณ์ จนเป็นเหตุให้ถูกเนรเทศ และเชือกสุดท้าย คือ คีริเมขล์ เป็นช้างคล้ายคลึงกับเอราวัณ แต่เป็นช้างของ พญาวสวัตดีมาร ซึ่งนำมาประจญพระพุทธเจ้าช่วงใกล้ตรัสรู้

        ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ช้างไทยที่ได้รับการจารึกชื่อไว้มีไม่น้อย ไม่ว่าจะป็นช้างทรงหรือช้างเผือก ได้แก่ เนกพล ของพ่อขุนรามคำแหง, เจ้าพระยาปราบหงสาวดี ของพระนเรศวร, พระเศวตกุญชร ในรัชกาลที่ 2 เป็นต้น บทบาทของช้างไทยยังมีต่อมาอีก กล่าวคือ ในสมัยรัชกาลที่ 4 ได้มีการส่งช้างไทยไปช่วยประธานาธิปดีลินคอล์นทำสงครามกลางเมืองระหว่างรัฐฝ่ายเหนือกับรัฐฝ่ายใต้ และยุควมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี มีการนำช้างไทยชื่อ พลายทองหล่อ ไปช่วยประธานาธิปดีไอเซนเฮาร์หาเสียงจนได้ชัยชนะการเลือกตั้ง

        มาปัจจุบันจำนวนช้างไทยทั้งช้างเลี้ยงและช้างป่ามีทีท่าว่าจะหดหายลงไปเรื่อยๆ กรณีช้างป่า ดังที่รู้เห็นกันอยู่ว่า การโค่นไม้ทำลายป่าก็ดี การตัดถนนหนทางโอบล้อมพงทึบก็ดี การล่าช้างเพื่อเอางาหรือเพียงเพื่อเอามาทำเนื้อเค็มก็ดี เหล่านี้มีอยู่ทั่วทุกหัวระแหงตามลำเนาป่า ส่วนช้างบ้าน บทบาทของการชักลากซุง การล้มเลิกโรงเรียนฝึกหัดช้าง การขาดหายของช่วงผู้สืบสานตระกูลควาญ ตลอดจนการตกลูกที่เนิ่นนานแต่ละครั้งตามสภาวะชีวิต คือตัวบั่นทอนช้างเลี้ยงอย่างมากและขอพูดถึงสภาพโดยทั่วไปของช้างป่าเมืองไทย ที่มีแนวโน้มใกล้สูญพันธุ์ก่อนช้างบ้าน

        หากจะสรรเสริญสังคมสัตว์ซึ่งมีระเบียบแบบแผนแล้ว สังคมช้างน่าจะได้รับการเชิญเข้าอันดับกับเขาได้ไม่แพ้สังคมแมลง เช่น ผึ้ง มด ปลวก หรือคนที่มีการศึกษา เพราะช้างชอบรวมกันอยู่ที่โขลงโดยมีจ่าโขลงที่อาจเป็นช้างตัวเมียมากประสบการณ์นำทาง (เรียกว่า แม่แปรก) หรือช้างพลายผู้กล้าหาญชาญฉลาด (เรียกว่า ช้างสีดอ)

        แม้ช้างจะเป็นสัตว์ใหญ่แต่ก็ค่อนข้างรักสงบ หากินกันไปตามประสา ทว่ายามตกใจฉุนโกธรแล้ว ช้างทั้งโขลงจะน่ากลัวที่สุด ด้วยพวกเขาจะทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้าทำนองป่าราบนั่นเทียว

        อีกประการหนึ่ง ช้างจะมีศัตรูจ้องจู่โจมเยอะพอควร และศัตรูเหล่านั้นก็มิได้หวาดไหวความใหญ่โตของช้างมากนัก อาทิ เสือโคร่งผู้ซุ่มล่าช้างตัวเมียและลูกช้าง งูเหลือม หมาป่าก็ไม่น้อยหน้าในการล่าลูกช้าง ที่น่าแปลกใจประการหนึ่งคือ หน้าที่การปกป้องลูกช้างจะเป็นช้างเพศเมีย 2-3 เชือกร่วมกัน รวมถึงการผลัดกันกล่อมเกลี้ยเลี้ยงดูด้วย

ศัตรูตัวสำคัญอันจะขาดเสียมิได้คือ มนุษย์ผู้ถืออาวุธล่าสัตว์เป็นกิจวัตรนี่เอง

        ปกติช้างเดินเหินค่อนข้างไว หูใหญ่ใช้ฟังเสียงได้ดี มีพละกำลังเหลือล้น หนังหนาทนทาน ตัวผู้จะมีงานขนาดใหญ่ใช้ต่อสู้ศัตรู และงัดขุดเปลือกไม้ ดินโป่งขึ้นมากิน ช้างผู้บางตัวมีงาเล็กสั้นผิดปกติ เรียกว่า เนียมส่วนงาที่สั้นนั้นเรียกว่า ขนาย หากเป็นช้างเพศผู้ ผู้ถูกจ่าโขลงขับไล่ หรือเป็นจ่าโขลงตัวผู้ที่ถูกช่วงชิงอำนาจเตลิดออกจากฝูงเรียกว่า ช้างโทน

        อวัยวะซึ่งสำคัญที่สุดสำหรับช้าง คือ งวง โดยใช้ในการดมกลิ่นจับอาหารเข้าปาก พ่นน้ำชะระร่างกาย และต่อสู้ศัตรูช้างจึงหวงแหนงวงยิ่งกว่าจามรีหวงขนหลายพันเท่า

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น