วันพุธที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ชื่อ



นางสาวสุพรรษา คำพอินทร์ 



ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/6 เลขที่ 39

วันอังคารที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

แก้วมังกร

แก้วมังกร

แก้วมังกร ภาษาอังกฤษชาวเอเชียเรามักนิยมเรียกกันว่า Dragon fruit แต่สำหรับต่างประเทศในแถบยุโรปนั้นจะใช้คำว่า Pitaya ส่วนแก้วมังกร ชื่อวิทยาศาสตร์เราจะเรียกว่า Hylocereus undatus (Haw) Britt. Rose.
แก้วมังกร มีถิ่นกำเนิดในแถบอเมริกากลาง นำเข้ามาในทวีปเอเชียที่ประเทศเวียดนามก่อนเมื่อประมาณ 100 ปีที่แล้ว จัดเป็นไม้ในตระกูลกระบองเพชร สามารถปลูกได้ทั่วประเทศ แต่แหล่งเพาะปลูกที่สำจะอยู่ที่จังหวัดจันทบุรี ชลบุรี กาญจนบุรี สระบุรีและสมุทรสงคราม ซึ่งผลผลิตมากในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนพฤษศจิกายน โดยเป็นผลไม้ที่มีรูปร่างกลมรี เปลือกมีสีแดง เมื่อผ่าครึ่งจะเห็นเนื้อเป็นสีขาวหรือแดงทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์นั้นๆ มีเมล็ดคล้ายเมล็ดแมงลักฝังอยู่ทั่วผล โดยแก้วมังกรจะมีสายพันธุ์ดังนี้คือ แก้วมังกรพันธุ์เนื้อขาวเปลือกแดงที่จะให้รสชาติหวานนิดๆ อมเปรี้ยวหน่อยๆ แก้วมังกรพันธุ์เนื้อขาวเปลือกเหลืองให้รสชาติออกหวาน และแก้วมังกรพันธุ์เนื้อแดงเปลือกแดงที่มีรสชาติหวานกว่าพันธุ์อื่นๆ โดยวิธีการรับประทานก็รับประทานเหมือนแตงโม นำมาผ่าคลึ่งแล้วใช้ช้อนตักรับประทานได้เลย
แก้วมังกรเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกายหลายชนิด อย่างเช่น วิตามินซี วิตามินบี1 วิตามินบี2 วิตามินบี3 ธาตุแคลเซียม ธาตุโพแทสเซียม ธาตุแมกนีเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก เป็นต้น ถ้ารับประทานแก้วมังกร 1 ลูก น้ำหนัก 100 กรัม ร่างกายจะได้ คาร์โบไฮเดรต 12.4 กรัม โปรตีน 1.4 กรัม ฟอสฟอรัส 32 มิลลิกรัม แคลเซียม 9 มิลลิกรัม วิตามินซี 7 มิลลิกรัม พลังงาน 66 กิโลแคลอรี่ และใยอาหาร 2.6 กรัม และสารอื่นๆอีกด้วย แก้วมังกรเลยถูกจัดเป็นอาหารเพื่อสุขภาพชนิดหนึ่งที่กำลังได้รับความสนใจ เพราะเป็นผลไม้เพื่อสุขภาพของคุณผู้หญิงที่รักสวยรักงามอีกด้วย
ประโยชน์ของแก้วมังกร
แก้วมังกรลดความอ้วนได้จริงหรือ? ได้แน่นอนเพราะเป็นผลไม้ที่มีไขมันไม่อิ่มตัว และแก้วมังกรมีแคลอรี่ต่ำเป็นตัวช่วยในการควบคุมน้ำหนักได้เป็นอย่างดีและเป็นผลไม้ที่มีเนื้อเยอะ ทานแล้วอิ่มท้องนาน เรียกได้ว่าสามารถรับประทานแทนอาหารหนึ่งมื้อได้เลย แม้จะทานเยอะแค่ไหนก็ไม่ทำให้อ้วน แถมช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่ง สดใสดูมีน้ำมีนวลอีกด้วย แต่ทั้งนี้ควรรับประทานอย่างพอประมาณหรือวันละไม่เกิน 1 ลูก ถ้าจะให้ดีในทุกๆวันไม่ควรรับประทานผลไม้เดิมๆซ้ำๆติดต่อกันหลายวัน เพื่อให้ได้สารอาหารอย่างหลากหลาย เพื่อที่จะได้ประโยชน์ต่อร่างกายอย่างเต็มที่ โดยการรับประทานในปริมาณที่เหมาะสตามหลักโภชนาการนั้นควรรับประทานผลไม้ให้ได้วันละ 3-5 ส่วนนั่นเอง

ประโยชน์ของแก้วมังกร

  1. แก้วมังกรช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส ชุ่มชื้น
  2. เป็นผลไม้ที่ช่วยดับร้อน ดับกระหายได้เป็นอย่างดี
  3. ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้แข็งแรง
  4. แก้วมังกรลดน้ำหนักและช่วยควบคุมน้ำหนักได้ด้วย เนื่องจากเป็นผลไม้ตัวช่วยในเรื่องการลดความอ้วนเนื่องจากมีแคลอรี่ต่ำ
  5. ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย ซึ่งมีส่วนช่วยในการชะลอวัยความแก่ชรา และริ้วรอยต่างๆ
  6. มีส่วนช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจ
  7. ช่วยป้องกันการอุดตันของหลอดเลือดหัวใจ
  8. มีส่วนในการช่วยรักษาโรคเบาหวาน
  9. ช่วยบรรเทาอาการโรคความดันโลหิตได้
  10. มีส่วนช่วยบรรเทาอาการของโรคโลหิตจาง
  11. มีส่วนช่วยลดอัตราการเกิดโรคมะเร็ง
  12. ช่วยกระตุ้นการขับน้ำนมในสตรี
  13. ช่วยดูดซับสารพิษต่างๆออกจากร่างกาย เช่น สารตกค้างอย่างตะกั่ว ที่มาจากควันท่อไอเสีย หรือสารตกค้างที่มาจากยาฆ่าแมลง
  14. ช่วยบำรุงกระดูกและฟันของคุณให้แข็งแรง
  15. มีกากใยสูงช่วยในการขับถ่ายให้สะดวก แก้อาการท้องผูก
  16. ช่วยปรับสมดุลของแบคทีเรียในลำไส้ แก้ปัญหาการขับถ่ายต่างๆให้ดีขึ้น
  17. มีส่วนช่วยป้องกันโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก
  18. ช่วยเสริมสร้างการทำงานของระบบกำจัดของเสียในร่างกายให้ดียิ่งขึ้น
  19. ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่
  20. นิยมนำมารับประทานเป็นผลไม้สด
  21. ใช้เป็นส่วนผสมในฟรุตสลัดและน้ำปั่นผลไม้
แหล่งอ้างอิง : วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี (http://en.wikipedia.org/wiki/Pitaya)

วันจันทร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

มะละกอ


มะละกอ

มะละกอ (Papaya) มะละกอ ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ “Carica Papaya” เป็นผลไม้เพื่อสุขภาพที่มีต้นกำเนิดจากอเมริกากลาง เป็นผลไม้อีกชนิดหนึ่งที่นิยมรับประทาน มากในบ้านเรา ด้วยการรับประทานสดๆหรือนำมาประกอบอาหาร เช่น ส้มตำ แกงส้ม หรือนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆ ก็ได้ มะละกอนั้นจัดว่าเป็นไม้ล้มลุก (หลายๆคนมักเข้าใจผิดว่า เป็นไม้ยืนต้น)
โดยประโยชน์ของมะละกอนั้นค่อนข้างหลากหลาย มีสรรพคุณเป็นทั้งยายารักษาโรค โดยสรรพคุณมะละกอก็เช่น ใช้เป็นยาระบาย ยาขับปัสสาวะ ช่วยรักษาโรคลักปิดลักเปิด เป็นต้น และยังมีวิตามินและแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น วิตามินซี วิตามินเอ วิตามินบี1 วิตามินบี2 วิตามินบี3 ธาตุแคลเซียม ธาตุโซเดียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก โปรตีน เป็นต้น
แต่มีคำแนะนำว่า ไม่ควรรับประทานมะละกอที่สุกในปริมาณมากๆ หรือติดต่อกันเป็นเวลานาน เพราะอาจจะทำให้ผิวของคุณเปลี่ยนเป็นสีเหลืองได้

ประโยชน์ของมะละกอ

  1. มะละกอ มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระอยู่หลายชนิด ซึ่งช่วยให้สุขภาพของคุณแข็งแรง
  2. ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใสอยู่เสมอ
  3. ช่วยในการชะลอวัย ลดเลือนและป้องกันการเกิดริ้วรอยต่างๆ
  4. ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงยิ่งขึ้น
  5. สามารถนำมาใช้เป็นทรีทเม้นท์ทำหน้าให้หน้าใสได้อีกด้วย ด้วยการนำมะละกอสุกผสมกับน้ำผึ้งและนมสด แล้วนำมาปั่นให้เข้ากัน หลังจากนั้นนำมาทาผิวหน้าทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วค่อยล้างออก
  6. ใช้นำมารับประทานเป็นผลไม้หรือของว่าง
  7. ใช้นำมาปรุงเป็นอาหาร เช่น แกงส้ม ส้มตำ เป็นต้น
  8. สามารถนำมะละกอไปใช้หมักให้เนื้อนุ่มได้อีกด้วย เพราะมีเอนไซม์ที่ชื่อว่า Papain ซึ่งเป็นส่วนประกอบของผงหมักสำเร็จรูปที่เราเห็นขายกันอยู่ตามท้องตลาดนั่นเอง
  9. นำมาแปรรูป การแปรรูปมะละกอ เช่น มะละกอแช่อิ่ม มะละกอแผ่น แยมมะละกอ มะละกอเชื่อม ซอสมะละกอ เยลลี่มะละกอ มะละกอแช่อิ่ม มะละกอสามรส มะละกอดอง มะละกอผง เป็นต้น
  10. มีส่วนช่วยกระตุ้นให้มารดามีน้ำนมมากขึ้น
  11. มะละกอ มีส่วนช่วยในการบำรุงประสาทและสมอง
  12. มะละกอ มีเอนไซม์ที่เป็นยาช่วยย่อยอาหาร
  13. ช่วยป้องกันลักปิดลักเปิด หรือเลือดออกตามไรฟันได้
  14. ช่วยรักษาอาการขัดเบา ด้วยการใช้รากสดประมาณ 1 กำมือ รากแห้งอีกครึ่งกำมือ หั่นแล้วนำมาต้มกับน้ำ แล้วนำน้ำมาดื่มวันละ 3 ครั้งก่อนมื้ออาหาร
  15. เป็นยาระบายอ่อนๆ แก้อาการท้องผูก ด้วยการกินเนื้อมะละกอสุก
  16. ช่วยในการย่อยอาหาร
  17. ใช้ฆ่าพยาธิ ด้วยการใช้ยางจากผลดิบซึ่งเป็นยาช่วยย่อยโปรตีน
  18. ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ แก้ขัดเบา จากรากมะละกอ
  19. ช่วยป้องกันการเกิดโรคนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะ
  20. ช่วยรักษาอาการเท้าบวม ด้วยนำใบมะละกอสดๆนำมาตำให้ละเอียดแล้วผสมกับเหล้าขาว แล้วนำมาพอกตรงบริเวณนั้นๆ
  21. ช่วยแก้อาการเคล็ดขัดยอก ด้วยใช้รากมะละกอนำมาตำให้แหลกแล้วผสมกับเหล้าขาว แล้วนำมาทาบริเวณนั้นๆ
  22. ใช้รักษาอาการผดผื่นคันขึ้นตามลำตัว ด้วยใช้ใบมะละกอ 1 ใบ เกลือ 1 ช้อนชา น้ำมะนาวจำนวน 2 ผล นำมาตำรวมกันให้ละเอียดแล้วนำมาทาบริเวณที่เป็นผดผื่น
  23. ช่วยรักษาโรคกลาก เกลื้อน เท้าเปื่อย ด้วยการใช้ยางมะละกอดิบมาทาวันละ 3 ครั้ง จะสามารถช่วยฆ่าเชื้อราได้
  24. ช่วยรักษาอาการคันอันเกิดมาจากพิษของหอยคัน ด้วยการใช้ยางมะละกอดิบๆนำมาทาทั้งเช้าและเย็น
  25. หากโดนเสี้ยนหรือหนามตำหรือหนามหักคาเนื้อใน หากนำยางมะละกอดิบมาทาหนามจะหลุดออกมา แต่ให้บ่งเปิดปากแผลก่อน
  26. หากโดนตะปูตำเท้าเป็นแผล ให้นำผิวของลูกมะละกอดิบมาตำแล้วนำมาพอกแผล โดยเปลี่ยนใหม่วันละ 2 ครั้ง
  27. ช่วยรักษาแผลพุพอง อักเสบ ด้วยการใช้ใบมะละกอที่แห้งกรอบนำมาบดให้เป็นผง นำไปผสมกับน้ำกะทิผสมให้พอเหนียว แล้วนำมาทาแผลวันละ 3 ครั้ง
  28. ใช้รักษาแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก ด้วยการใช้เนื้อมะละกอดิบๆ นำมาต้มจนเปื่อยๆ นำมาตำแล้วนำมาพอกบริเวณบาดแผล
  29. ใช้รักษาอาการปวดหลังปวดข้อต่างๆ ด้วยรับประทานมะละกอสุกอย่างต่อเนื่องจะช่วยบรรเทาอาการดังกล่าวได้
  30. ช่วยรักษาอาการปวดกล้ามเนื้อ หรือกล้ามเนื้อไม่มีแรง ด้วยการใช้รากมะละกอตัวผู้นำมาแช่เหล้าขาวทิ้งไว้ 7 วัน และกรองเอาน้ำมาบริเวณที่ตามกล้ามเนื้อ หรือบริเวณที่กล้ามเนื้ออ่อน แรง
  31. ช่วยลดอาการปวดบวม ด้วยการนำใบมะละกอสดๆ ไปย่างไฟหรือใช้น้ำร้อนลวก แล้วนำมาประคบบริเวณที่มีอาการ หรือนำมาตำให้พอพยาบแล้วห่อด้วยผ้าขาวบางนำมาทำเป็นลูก ประคบก็ใช้ได้เหมือนกัน
  32. ช่วยป้องกันการเกิดอาการตับโต หรือโรคที่เดียวกับตับ
  33. เป็นยาช่วยบำรุงหัวใจให้แข็งแรง
  34. มีงานวิจัยมะละกอพบว่า การรับประทานมะละกอเป็นประจำมีส่วนช่วยในการต่อต้านโรคมะเร็งได้

วันอาทิตย์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

เด็กเลี้ยงแกะ



เด็กเลี้ยงแกะ

ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งมีเด็กเลี้ยงแกะ อยู่คนหนึ่ง ในทุกๆวัน เด็กเลี้ยงแกะคนนี้ จะต้องต้อนฝูงแกะของตน ออกไปกินหญ้าที่เนินเขาใกล้ชายป่าอยู่เสมอมา…และเมื่อเขาได้นำฝูงแกะมาถึงที่แล้ว ก็จะต้องนั่ง เฝ้าเพื่อคอยปกป้องให้พ้นจากการเป็นเหยื่อของหมาป่า ซึ่งมันก็เป็นหน้าที่ประจำวันที่แสนจะน่าเบื่อหน่ายอย่างที่สุดของเขา เมื่อทุกวันๆ จำจะต้องทำอย่างเดิมๆซ้ำซากจำเจและหลีกเลี่ยงไม่ได้ เขาจึงรู้สึกเบื่อหน่าย อย่างที่สุด เขาจึงคิดหาเรื่องสนุกๆ ทำ เพื่อให้คลายความเครียดและเกิดความสนุกขึ้นมาเสียสักหน่อย และเมื่อคิดได้อย่างนั้นแล้ว…

จึงแกล้งร้องตะโกน ขึ้นด้วยเสียงอันดัง พร้อมทั้งวิ่งอย่างตระหนกตกใจเข้าไปในหมู่บ้าน ปากก็ร้องตะโกนโหวก เหวกไปตลอดทางว่า “ช่วยด้วยจ้า ! ช่วยด้วยจ้า….หมาป่ามากินแกะแล้ว…ช้วยด้วยเจ้าข้า…” พวกชาวบ้านได้ยินว่ามีหมาป่าออกมาดังนั้น จึงพากันวิ่งกรูเข้ามาหมายจะช่วยพร้อมด้วยอาวุธต่าง ๆที่พอจะมีกัน…แต่แล้วเมื่อ พากันวิ่งมาถึงตรงที่พวกฝูงแกะอยู่นั้น ก็ไม่พบและเห็นว่ามี หมาป่าอยู่ที่ไหนเลยสักตัวเดียว แล้วยังเห็น ว่าพวกแกะนั้นกำลังเล็มหญ้ากินกันอย่างสบายใจ เด็กเลี้ยงแกะแอบหัวเราะขึ้นในใจที่หลอกทุกคนได้ “ฮ่าๆๆๆ ฮู่ๆๆๆๆ ขำว่ะคนโดนเด็กหลอก ฮ่าๆๆๆ” เจ้าเด็กเลี้ยงแกะยิ้มหน้าระรื่นพร้อมทั้ง ได้บอกกับพวกชาวบ้านที่กำลังยืนงงกันอยู่นั้น อย่างมองแล้วก็รู้ว่าโดนเด็กหลอกให้เข้าอย่างเต็มเปาเลยหละว่า “พวกท่าน ฮึๆๆ มาช้าไปนิดเดียวแค่เส้นยาแดงผ่าแปดเอง หมาป่ามันวิ่งหนีไปทางโน้น…แล้วหละ ฮึๆๆๆ”
พวกชาวบ้านเมื่อได้ฟังดังนั้น และเห็นเด็กเลี้ยงแกะทำท่าหัวเราะถูกใจ อย่างสุดที่จะระงับด้วยอาการแบบนั้นเข้า ก็รู้ทันทีว่าพวกเขาได้โดนหลอกเสียแล้ว ต่างก็ให้เป็นโมโหกันอย่างมาก ด้วยเพราะต้องเสียเวลาทำงานของพวก เขาไปโดยปล่าวประโยชน์เหมือนไร้ค่าแบบน่าโมโหอย่างนั้น เด็กเลี้ยงแกะเมื่อหลอกใครๆ ได้สำเร็จ ก็ให้เป็นรู้สึก สนุกสนานเป็นอย่างมาก แล้วจากนั้น เขาก็ยังแกล้งหลอกแบบเดิม ให้ชาวบ้านพากันวิ่งหน้าตื่นเข้ามาช่วย ได้อีก 2-3 ครั้ง
จนกระทั่งวันหนึ่ง ได้มีหมาป่าออกมาไล่จับกินแกะเข้าจริงๆ คราวนี้เด็กเลี้ยงแกะ ตาเหลือก หน้าซีดวิ่งร้อง เสียงหลงเลยทีเดียว และได้เข้าไปขอร้องผู้คนเป็นการใหญ่ “ช่วยด้วยจ้า ! ช่วยด้วยจ้า….หมาป่ามากินแกะแล้ว… ช้วยด้วยเจ้าข้า !” เขาตะโกนร้องขอความช่วยเหลือจนหอแหบ คอแห้งไปหมด แต่พวกชาวบ้านนั้น ด้วยทุกคน ก็ได้เคยโดนหลอกอย่างนี้มาแล้วหลายหน จึงไม่สนใจและเดินหนีกันไปหมดทุกคนเลยนั่นแหละ….
ก็จะมีใครเล่า…ที่จะเชื่อคนที่เคยและชอบโกหกพกลมอย่างนี้…สักคนเล่า…และในที่สุด ฝูงแกะทั้งฝูงของเด็กเลี้ยง แกะผู้ชอบปด ก็เลยจำต้องโดนหมาป่าเขมือบกินเป็นอาหารไปเสียจนหมด ไม่มีเหลือเลยสักตัว เด็กเลี้ยงแกะเลย จำต้องมานั่งร้องให้โอดครวญอย่างน่าสงสารอยู่ตรงข้างซาก ของฝูงแกะของตัวเอง และพูดทั้งน้ำตาว่า “ไม่ควร เล้ย..เพราะข้าไม่ดีเอง ขี้โกหกโป้ปดมดเท็จ เพราะเห็นเป็นเรื่องสนุก กว่าจะรู้ว่ามันไม่ดี…ฮื่อๆๆๆ ก็สายไปเสีย แล้ว ฮื่อๆๆๆ” เขานั่งร้องให้ขี้มูกโป่งด้วยความเศร้าโศรก อย่างที่เรียกว่า ผิดครั้งนี้..เล่นเอา เขาจำต้องหัวเราะไม่ ออกไปอีกนานเลยทีเดียวเลยหละ”
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
คนที่มักหรือชอบพูดโป้ปดมดเท็จ เมื่อถึงคราวพูดจริงก็ยากที่จะมีใครสักคนเชื่อ …


อ่านต่อ: http://www.nithan.in.th/%e0%b9%80%e0%b8%94%e0%b9%87%e0%b8%81%e0%b9%80%e0%b8%a5%e0%b8%b5%e0%b9%89%e0%b8%a2%e0%b8%87%e0%b9%81%e0%b8%81%e0%b8%b0#ixzz3S6J8m8jj

วันเสาร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

เสาวรส

                                                              ที่มา : http://frynn.com/%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%AA/

เสาวรส

เสาวรส ชื่อสามัญ “Passion Fruit” เสาวรส ชื่อวิทยาศาสตร์ “Passiflora Edulis” จัดอยู่ในวงศ์กะทกรก (Passifloraceae) เช่นเดียวกับกะทกรก และเสาวรสยงมีชื่ออื่นอีก คือ “กะทกรกฝรั่ง
เสาวรส เป็นผลไม้เพื่อสุขภาพชนิดหนึ่งที่มีต้นกำเนิดในแถบทวีปอเมริกาใต้ ผลมีลักษณะกลม ผลอ่อนจะมีสีเขียว แต่เมื่อสุกแล้วจะมีหลายสีแล้วแต่สายพันธุ์ คือ สีม่วง สีเหลือง สีส้ม ซึ่งในบ้านเรานี้จะปลูกทั้ง 3 สายพันธุ์ โดยในผลเสาวรสนั้นจะมีเมล็ดจำนวนมาก มีกลิ่นคล้ายฝรั่งสุก รสออกเปรี้ยวจัด แต่บางสายพันธุ์จะมีรสออกอมหวานด้วย
สำหรับประโยชน์ของเสาวรสและสรรพคุณของเสาวรสนั้นก็มีมากมายหลายข้อ เพราะ เสาวรสอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุรวมอยู่หลายชนิด ซึ่งได้แก่ วิตามินซี วิตามินเอ วิตามินบี2 วิตามินบี3 กรดโฟลิก ธาตุแคลเซียม ธาตุเหล็ก ธาตุแมกนีเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุโพแทสเซียม ธาตุสังกะสี และ คาร์โบไฮเดรต โดยยังมีของแถมนั่นก็คือ ใยอาหาร ในปริมาณสูงรวมอยู่ด้วย ซึ่งนิยมนำมารับประทานเป็นผลไม้สด โดยเสาวรสที่ลักษณะดีนั้นต้องไม่เหี่ยว ผิวต้องเต่งตึงแต่ทั้งนี้ห้ามรับประทานในส่วนของต้นสดเด็ดขาด เพราะมีสารพิษอันตราย อาจทำให้เสียชีวิตได้ รอรับประทานผลอย่างเดียวจะดีกว่า

ประโยชน์ของเสาวรส

  1. เสาวรส ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส
  2. ช่วยในการชะลอวัย ชะลอการเกิดริ้วรอยแห่งวัย ด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระ
  3. ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกายให้แข็งแรง
  4. ช่วยในการบำรุงสายตา เนื่องจากมีวิตามินเอรวมอยู่ด้วย
  5. น้ำเสาวรสช่วยให้นอนหลับสบายมากยิ่งขึ้น
  6. น้ำเสาวรสช่วยเพิ่มความสดชื่นให้แก่ร่างกาย
  7. มีวิตามินบี2 ซึ่งช่วยบำรุงผิวพรรณ เล็บ และเส้นผม
  8. มีแคลเซียมซึ่งมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดูกเสื่อมและกระดูกหัก
  9. มีโพแทสเซียมสูงสูง ที่ช่วยให้มีสติปัญญา จิตใจร่าเริงแจ่มใส ด้วยการส่งออกซิเจนไปเลี้ยงที่สมอง
  10. มีแมกนีเซียม ซึ่งช่วยในการเผาผลาญไขมันและเปลี่ยนเป็นพลังงาน
  11. มีฟอสฟอรัสสูง ซึ่งช่วยส่งเสริมสุขภาพเหงือกและฟันให้แข็งแรง
  12. นิยมนำมาดื่มเป็นน้ำผลไม้ หรือใช้เป็นส่วนผสมในน้ำผลไม้รวม
  13. ใช้ทำเป็นน้ำผลไม้ปั่น สำหรับวิธีทำน้ําเสาวรส อย่างแรกให้เตรียม เสาวรสที่สุกแล้ว 3 ลูก / น้ำเชื่อมครึ่งถ้วย / เกลือป่นหนึ่งช้อนโต๊ะ / น้ำต้มสุกแช่เย็นหนึ่งถ้วย หลังจากนั้นนำเสาวรสไปล้างให้สะอาดทั้งเปลือก แล้วนำมาผ่าครึ่งตามขวาง แล้วนำช้อนตักเมล็ดเนื้อเสาวรส น้ำออกให้หมด แล้วนำมาปั่นกับน้ำต้มสุกจนละเอียด แล้วกรองกากและเมล็ดออกด้วยการใช้ผ้าขาวบางหรือกระชอน หลังจากนั้นนำน้ำเสาวรสที่กรองเรียบร้อยแล้วลงในเครื่องปั่น ใส่น้ำเชื่อม เกลือป่น นำแข็งตามลงไปปั่น เสร็จแล้วก็จะได้น้ำเสาวรสฝีมือของเราแล้ว
  14. นำมาใช้แต่งกลิ่นหรือรสชาติในโยเกิร์ต น้ำอัดลม เป็นต้น
  15. เนื้อเสาวรสนำไปทำขนมได้หลายชนิด เช่น เค้ก แยม เยลลี่ ไอศกรีม เป็นต้น
  16. ใช้นำไปประกอบของหวาน เช่น นำเมล็ดเสาวรสมาใช้แต่งหน้าเค้ก
  17. ใช้นำมาประกอบอาหาร เช่น การนำยอดเสาวรสไปแกงหรือกินกับน้ำพริก
  18. เมล็ดของเสาวรสสามารถนำไปสกัดเป็นน้ำมันพืชได้
  19. ใช้ทำเนยเทียม จากเมล็ดเสาวรส
  20. ใช้เป็นอาหารสัตว์ ด้วยการนำเปลือกไปสกัดสารเพกทินหรือนำมาตากแห้ง
  21. เปลือกเสาวรสสามารถนำมาใช้ทำปุ๋ยหมักได้
  22. ใช้ทำเป็นน้ำมันนวดผ่อนคลาย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เนื่องจากมีคุณสมบัติในการช่วยผ่อนคลายได้ดี
  23. ใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางบางเช่น ผลิตภัณฑ์กันแดด ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ผลิตภัณฑ์รักษาสิว เป็นต้น
  24. ช่วยในการสมานผิวรักษาเนื้อเยื่อผิวหนัง
  25. ช่วยปรับสมดุลในร่างกายและลดอาการวิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน
  26. ที่เปอร์โตริโก นิยมนำเสาวรสมาใช้ในการลดความดันโลหิต
  27. ช่วยบรรเทาอาการโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
  28. ช่วยในการฟื้นฟูตับและไตให้มีสุขภาพแข็งแรง
  29. ช่วยในการกำจัดสารพิษในเลือด
  30. ช่วยบรรเทาอาการปวด
  31. ช่วยในการบำรุงปอด
  32. ช่วยลดไขมันในเส้นเลือด
  33. ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง
  34. ช่วยรักษาอาการหอบหืด
  35. ใบสดนำมาใช้พอกแก้หิดได้
  36. ดอกใช้ขับเสมหะ ช่วยแก้ไอได้
  37. เมล็ดมีสารที่ทำหน้ายับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราได้ดี

วันศุกร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ช้าง (ไทย) ฤาจะเหลือไว้แต่เพียงนาม

ช้าง (ไทย)
ฤาจะเหลือไว้แต่เพียงนาม 

                   ผมเฝ้ามองความเป็นไปของสังคมไทยแล้วรู้สึกสลดรันทดพิกล รับฟังความวิบัติของสัตว์ชนิดหนึ่ง ซึ่งผูกพันและสร้างชื่อหรืออาจจะมีส่วนถึงขั้นสร้างชาติก็ว่าได้ ความวิบัติแห่งเผ่าพันธุ์ของเขามิใช่เพิ่งกำเนิด หากแต่เกิดมาเนิ่นนาน นับเนื่องก็หลายทศวรรษแล้วจวบจนกระทั่งบัดนี้

สัตว์ที่ผมจะเล่าขานก็คือ ช้าง

        ปกติวิสัยในธรรมชาติ ช้างนั้นถือว่าเป็นสัตว์ป่า มิหนำซ้ำยังเป็นสัตว์บกที่ใหญ่ที่สุดอีกด้วย แต่จากกรรมยุทธวิธีของมนุษย์ตามพื้นที่ต่างๆ จะมีรูปแบบการล่าช้างและจับช้างอันมีวัตถุประสงค์คล้ายคลึงกัน เพื่อนำมาเป็นสัตว์พาหนะประจำบ้านเมือง ไม่ว่าเขมร ส่วย กะเหรี่ยง พม่า อินเดีย ขอม ลาว ล้านนา ล้านช้าง แม้แต่ชนชาวป่า ณ ทวีปแอฟริกาบางเผ่า โดยต่างฝ่ายต่างมีรูปแบบเป็นเอกลักษณ์จำเพาะ

        สำหรับประเทศไทย บรรพบุรุษของเรานอกจากจะฝึกช้างทำสงครามโดยยกย่องให้เป็นเอกจาก จัตุรงคพล คือ พลราบ พลรบ พลม้าและพลช้าง แล้วเถิดถือช้างเผือกให้เป็นยอดแห่งช้าง ถึงกับแบ่งเป็นหกพงศ์ (บ้างก็ว่ามีห้าพงศ์) แปดสิบสองหมู่ ในรัชกาลที่ 2 ถึงรัชกาลที่ 6 ช่วงต้น ประเทศไทยเราใช้ธง (มีรูป) ช้างเผือกเป็นสัญลักษณ์ธงชาติ รัชสมัยของพระเจ้าแผ่นดินองค์ใด หากปราศจากช้างเผือกประดับบุญญาบารมีแล้ว นับเนื่องเป็นเรื่องเสื่อมเสียพระเกียรติยศไม่น้อย การสงวนช้างเผือกล้วนเป็นสิ่งจำเป็นสูงสุด

        วรรณคดีไทยแทบทุกเรื่อง จะมีการกล่าวพากพันถึงช้างไว้เสมอ ที่บ่งบอกเป็นกึ่งนามกึ่งตำราไว้ก็คือลิลิตยวนพ่าย สมัยพระบรมไตรโลกนาถอันเป็นวรรณคดีเลื่องชื่อเรื่องหนึ่ง โดยเริ่มตั้งแต่บทที่ 209 ถึงบทที่ 246 ดังบางตัวอย่างดังนี้ (แต่งเป็น โครงดั้นบาทกุญชร)
ขัยพระพิเศษล้ำ เลอหาญ
สรรพเครื่องคชาภรณ์ เพริศแพร้ว
เชษฏ์พระพิศาลสา- มรรถแว่น ไวแฮ
ทานพระพิสุทธแกล้ว แกว่นรณ
พิษณุพระกรแกว่นซ้าย สงคราม
พรพระกรรม์ ไกรกล วาดไว้
พรรณพระเกตุเงื่อนงาม โสภาศ
เพศพระกาลควรไท้ แทบองค์


        นอกจากจะกล่าวถึงช้างเผือกแล้ว วรรณคดีเรื่องนี้ยังพูดถึงช้างลักษณะชั่ว อันเป็นอัปมงคลไว้ถึง 33 ชนิด เช่น

        พาหล มีนิสัยดุร้าย, สิงคาล ดื้อรั้นฝึกยากยิ่ง, ระลมสังไก เลี้ยงไว้มีแต่หายนะ, สุครีพ คอเล็กไม่สมตัว,ยุรยักษ์ เดิมเหมือนยักษ์, กันทุย ตื่นตระหนกง่าย, ชีพศฤงสวามิพร ประทุษร้ายเจ้าของ, กันเอก ไร้ความงามสง่า, นครฆาต ทำให้บ้านเมืองฉิบหาย ฯลฯ.

        วรรณคดีที่ส่วนมากเรายึดถือเค้าโครงแบบอย่างมาจากอินเดียจะมีเทพเจ้าสำคัญ 3-4 องค์ที่เกี่ยวข้องกับช้าง ซึ่งไทยก็รับไว้ไม่เปลี่ยนแปร ได้แก่ พระอินทร์ มีพาหนะประจำองค์คือ ช้างเอราวัณ เกิดจากเทวบุตรนินมิตตัวมี 33 เศียร เป็นช้างเผือกขนาดมโหฬารปานมหาสมุทร อีกองค์หนึ่งก็คือ พระพุธ ทรง ช้างสาร และ พระพิฆเนศ ที่เศียรเป็นช้าง

        สำหรับวรรณคดีทางพระพุทธศาสนา ก็มีช้างดังๆ ประจำชาดกหลายตอน เช่น พญาฉัททัต์ ผู้ยอมเสียงาให้นายพรานจนสิ้นชีวิต เพื่อบำเพ็ญศีลบารมีปางเสวยชาติเป็นพระโพธิสัตว์ อีกเชือกหนึ่งก็คือ ปัจจัยนาค ซึ่งพระเวศสันดร ทรงเสียสละให้ 8 พราหมณ์ จนเป็นเหตุให้ถูกเนรเทศ และเชือกสุดท้าย คือ คีริเมขล์ เป็นช้างคล้ายคลึงกับเอราวัณ แต่เป็นช้างของ พญาวสวัตดีมาร ซึ่งนำมาประจญพระพุทธเจ้าช่วงใกล้ตรัสรู้

        ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ช้างไทยที่ได้รับการจารึกชื่อไว้มีไม่น้อย ไม่ว่าจะป็นช้างทรงหรือช้างเผือก ได้แก่ เนกพล ของพ่อขุนรามคำแหง, เจ้าพระยาปราบหงสาวดี ของพระนเรศวร, พระเศวตกุญชร ในรัชกาลที่ 2 เป็นต้น บทบาทของช้างไทยยังมีต่อมาอีก กล่าวคือ ในสมัยรัชกาลที่ 4 ได้มีการส่งช้างไทยไปช่วยประธานาธิปดีลินคอล์นทำสงครามกลางเมืองระหว่างรัฐฝ่ายเหนือกับรัฐฝ่ายใต้ และยุควมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี มีการนำช้างไทยชื่อ พลายทองหล่อ ไปช่วยประธานาธิปดีไอเซนเฮาร์หาเสียงจนได้ชัยชนะการเลือกตั้ง

        มาปัจจุบันจำนวนช้างไทยทั้งช้างเลี้ยงและช้างป่ามีทีท่าว่าจะหดหายลงไปเรื่อยๆ กรณีช้างป่า ดังที่รู้เห็นกันอยู่ว่า การโค่นไม้ทำลายป่าก็ดี การตัดถนนหนทางโอบล้อมพงทึบก็ดี การล่าช้างเพื่อเอางาหรือเพียงเพื่อเอามาทำเนื้อเค็มก็ดี เหล่านี้มีอยู่ทั่วทุกหัวระแหงตามลำเนาป่า ส่วนช้างบ้าน บทบาทของการชักลากซุง การล้มเลิกโรงเรียนฝึกหัดช้าง การขาดหายของช่วงผู้สืบสานตระกูลควาญ ตลอดจนการตกลูกที่เนิ่นนานแต่ละครั้งตามสภาวะชีวิต คือตัวบั่นทอนช้างเลี้ยงอย่างมากและขอพูดถึงสภาพโดยทั่วไปของช้างป่าเมืองไทย ที่มีแนวโน้มใกล้สูญพันธุ์ก่อนช้างบ้าน

        หากจะสรรเสริญสังคมสัตว์ซึ่งมีระเบียบแบบแผนแล้ว สังคมช้างน่าจะได้รับการเชิญเข้าอันดับกับเขาได้ไม่แพ้สังคมแมลง เช่น ผึ้ง มด ปลวก หรือคนที่มีการศึกษา เพราะช้างชอบรวมกันอยู่ที่โขลงโดยมีจ่าโขลงที่อาจเป็นช้างตัวเมียมากประสบการณ์นำทาง (เรียกว่า แม่แปรก) หรือช้างพลายผู้กล้าหาญชาญฉลาด (เรียกว่า ช้างสีดอ)

        แม้ช้างจะเป็นสัตว์ใหญ่แต่ก็ค่อนข้างรักสงบ หากินกันไปตามประสา ทว่ายามตกใจฉุนโกธรแล้ว ช้างทั้งโขลงจะน่ากลัวที่สุด ด้วยพวกเขาจะทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้าทำนองป่าราบนั่นเทียว

        อีกประการหนึ่ง ช้างจะมีศัตรูจ้องจู่โจมเยอะพอควร และศัตรูเหล่านั้นก็มิได้หวาดไหวความใหญ่โตของช้างมากนัก อาทิ เสือโคร่งผู้ซุ่มล่าช้างตัวเมียและลูกช้าง งูเหลือม หมาป่าก็ไม่น้อยหน้าในการล่าลูกช้าง ที่น่าแปลกใจประการหนึ่งคือ หน้าที่การปกป้องลูกช้างจะเป็นช้างเพศเมีย 2-3 เชือกร่วมกัน รวมถึงการผลัดกันกล่อมเกลี้ยเลี้ยงดูด้วย

ศัตรูตัวสำคัญอันจะขาดเสียมิได้คือ มนุษย์ผู้ถืออาวุธล่าสัตว์เป็นกิจวัตรนี่เอง

        ปกติช้างเดินเหินค่อนข้างไว หูใหญ่ใช้ฟังเสียงได้ดี มีพละกำลังเหลือล้น หนังหนาทนทาน ตัวผู้จะมีงานขนาดใหญ่ใช้ต่อสู้ศัตรู และงัดขุดเปลือกไม้ ดินโป่งขึ้นมากิน ช้างผู้บางตัวมีงาเล็กสั้นผิดปกติ เรียกว่า เนียมส่วนงาที่สั้นนั้นเรียกว่า ขนาย หากเป็นช้างเพศผู้ ผู้ถูกจ่าโขลงขับไล่ หรือเป็นจ่าโขลงตัวผู้ที่ถูกช่วงชิงอำนาจเตลิดออกจากฝูงเรียกว่า ช้างโทน

        อวัยวะซึ่งสำคัญที่สุดสำหรับช้าง คือ งวง โดยใช้ในการดมกลิ่นจับอาหารเข้าปาก พ่นน้ำชะระร่างกาย และต่อสู้ศัตรูช้างจึงหวงแหนงวงยิ่งกว่าจามรีหวงขนหลายพันเท่า

วันพฤหัสบดีที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ปลาบู่ทอง

ปลาบู่ทอง


ชายหาปลามีใจลำเอียงไม่ชอบภรรยาหลวงและลูกสาวของนาง จึงมักจะดุค่าและบังคับให้ทำงานหนักทุกวัน ในขณะที่นางกนิษฐีเป็นที่ชื่นชอบมากกว่า จึงใช้ชีวิตอยู่อย่างสบายและไม่ต้องทำงานหนักเหมือนอย่างสองแม่ลูกคู่นั้น อย่างไรก็ตาม ทั้งนางกนิษฐีและลูก ๆ ก็ยังคงเกลียดชังนางกนิษฐาและลูกเอื้อย จึงคอยหาทางกลั่นแกล้งสองแม่ลูกอยู่ตลอดเวลา
ทุก ๆ เช้า ชายหาปลาจะออกไปทอดแหในแม่น้ำ โดยมีภรรยาทั้งสองคนผลัดกันเป็นคนพายเรือไปให้ หลังจากได้ปลามากพอในแต่ละวัน ก็จะนำไปขายที่ตลาดก่อนกลับบ้าน อยู่มาวันหนึ่ง ถึงเวรนางกนิษฐาที่ต้องทำหน้าที่พายเรือให้สามีในขณะหาปลา แต่ว่าวันนั้นไม่ได้ปลาสักตัวเดียวนอกจากปลาบู่ทองตัวหนึ่งเท่านั้น แม้ว่าชายหาปลาจะพยายามอย่างไร ก็ยังคงทอดแหได้แต่ปลาบู่ทองตัวเดิม และทุกครั้งที่เขาได้ปลาบู่ขึ้นมาภรรยาของเขาก็จะขอให้เก็บไว้ให้ลูกของตนเลี้ยงเล่นแต่เขาก็จะโยนมันทิ้งไปโดยไม่แยแส  ชายหาปลาโมโหมาก แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี จึงบันดาลโทสะอย่างแรงโดยการตบดีนางและผลักนางตกน้ำไป ภรรยาของเขาจึงจมน้ำตายเพราะว่ายน้ำไม่เป็น
ชายหาปลาจึงกลับบ้านเพียงลำพัง และพบเอื้อยกำลังรอแม่ของตนกลับมาอยู่ และเมื่อลูกสาวถามหาแม่ เขาก็ปฏิเสธที่จะบอกความจริง และโกหกว่าแม่ของนางไปอยู่ใต้น้ำและจะกลับมาในอีก 3 วัน อีกทั้งยังสั่งให้ลูกสาวหยุดร้องไห้มิฉะนั้นแม่ของนางจะไม่กลับมาอีกเลย
แม้ว่าเด็กหญิงจะไม่เข้าใจความหมายของบิดา แต่ก็นึกเอาว่ามารดาของตนต้องประสบอันตรายอย่างแน่นอน นางจึงร้องไห้โฮออกมา ฝ่ายชายหาปลาก็เกรงว่าข่าวการหายไปของภรรยาตนจะแพร่หลายไปถึงหูชาวบ้าน จึงบังคับให้ลูกสาวหยุดร้องไห้และเริ่มทุบตีนาง เพื่อนบ้านที่เห็นเหตุการณ์จึงเข้ามาขัดขวางและถามถึงภรรยาหลวงที่หายไปของเขา ชายหาปลาจึงโกหกไปว่านางหนีตามชู้ไปแล้ว แต่ก็ไม่มีใครเชื่อคำพูดของเขา เพราะทุกคนรู้ความจริงดีว่าชายหาปลาผู้นี้เกลียดภรรยาหลวงและรักภรรยาน้อยมากกว่า
รุ่งเช้าพ่อกับแม่เลี้ยงบอกให้นางเอื้อยทำงานบ้าน แต่นางยังคงเจ็บแผลที่ถูกบิดาเฆี่ยนตีอยู่จึงขอหยุดพัก พ่อกับแม่เลี้ยงไม่ยอมฟังนาง และยังสั่งให้ทำงานต่อไป ตรงกันข้ามกับลูกสาวอีกสองคนของแม่เลี้ยง ที่ไม่ต้องทำงานบ้านอะไรเลย และสามารถกินและ เล่นได้อย่างสบายใจ
หลังจากที่นางกนิษฐาจมน้ำตายไป นางก็ไปเกิดใหม่เป็นปลาบู่ทอง และว่ายน้ำมาที่ท่าน้ำหน้าบ้านเพื่อรอเอื้อยทุกวัน ปลาบู่ทองเล่าเรื่องทั้งหมดให้เอื้อยฟัง นางเอื้อยรู้สึกสงสารผู้เป็นแม่มาก จึงนำอาหารมาให้ปลาผู้เป็นมารดาทุกวัน และพูดคุยกันเพื่อจะได้ลืมความทุกข์โศกทั้งปวง
ไม่นานนัก นางอ้ายก็รู้เรื่องทั้งหมด จึงไปบอกให้แม่ตนเองทราบเรื่อง นางกนิษฐีจึงคิดจะฆ่าปลาบู่ทองเสีย โดยวางแผนให้เอื้อยไปเลี้ยงวัวในทุ่งนา ปลาบู่ทองจึงถูกล่อไปฆ่ากินเป็นอาหารของผู้เป็นแม่เลี้ยง หมาและแมว โดยไม่เหลือแม้แต่ก้างปลาบู่ทอง เหลือแต่เพียงเกล็ดปลาที่ถูกทิ้งไว้
นางเอื้อยเมื่อไม่พบแม่จึงไปถามหมาและแมว ซึ่งทั้งสองก็ปฏิเสธที่จะบอกความจริง เป็ดจึงเข้ามาปลอบเอื้อย และมอบเกล็ดปลาบู่ทองให้แก่นาง เอื้อยเสียใจมากที่รู้ว่าแม่ปลาบู่ทองถูกจับไปกินเสียแล้ว นางจึงได้แต่ฝังเกล็ดปลาบู่ทองเอาไว้ในป่า และตั้งอธิษฐานขอให้แม่มากลับมาเกิดเป็นต้นมะเขือเปราะอีกครั้ง
เทวดารู้ดังนั้น ก็บันดาลให้เกิดเป็นต้นมะเขือเปราะขึ้นมา นับตั้งแต่นั้นมา นางเอื้อยก็แวะเวียนมากราบไหว้และพูดคุยกับต้นมะเขือเปราะผู้เป็นมารดาทุกวัน  แต่โชคร้ายที่อ้ายก็แอบมาเห็นและไปบอกแม่ของตน ผู้เป็นแม่จึงสั่งให้ถอนต้นมะเขือเปราะทิ้งเสีย แล้วนำผลมาทานทันที หลังจากทานเสร็จก็โยนเม็ดมะเขือเปราะทิ้งไป แต่เป็ดก็หวังดีและเก็บเม็ดมะเขือเปราะเอาไว้ให้เอื้อย
เอื้อยเสียใจอย่างสุดซึ้ง นางจึงนำเม็ดมะเขือเปราะไปปลูกไว้ในป่า แล้วอธิษฐานแก่เทวดาขอให้แม่เกิดเป็นต้นโพธิ์อีกครั้ง เทวดารู้ดังนั้น ก็บันดาลเป็นต้นโพธิ์เงินโพธิ์ทองขึ้นมา ตามที่นางเอื้อยต้องการ
กาลต่อมา เมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสด็จมาทรงเห็นต้นโพธิ์ ก็ทรงอยากได้กลับไปปลูกในวัง จึงให้ทหารตามหาเจ้า ของ ซึ่งเมื่อพระองค์ทราบว่านางเอื้อยเป็นเจ้าของ พระองค์ก็ทรงประสงค์ที่จะพบเอื้อย เอื้อยจึงได้กราบทูลเรื่องราวทั้งหมดให้พระเจ้าพรหมทัตทรงทราบ ด้วยความสงสาร พระองค์จึงตัดสินพระทัยที่จะอธิเษกสมรสกับเอื้อย และแต่งตั้งให้เป็นพระราชีนี
พระเจ้าพรหมทัตทรงถอนต้นโพธิ์เพื่อนำกลับไปในวัง แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่สามารถถอนต้นโพธิ์ได้ พระองค์ จึงทรงรับสั่งให้เอื้อยมาช่วยถอน เอื้อยจึงทำการขออนุญาตมารดาของตน ซึ่งก็ช่วยให้สามารถถอนต้นโพธิ์ขึ้นได้สำเร็จ
ฝ่ายแม่เลี้ยงและลูกสาวทั้งสองเมื่อทราบข่าวการสมรส ก็เกิดความอิจฉาริษยาเป็นอย่างมาก จึงเดินทางไปหายายเฒ่าผู้หนึ่ง ซึ่งก็ออกอุบายให้ส่งข่าวไปบอกราชินีเอื้อย ว่าบิดาของนางเจ็บหนักใกล้ตายแล้ว ทันทีที่ทราบข่าว ราชินีเอื้อยผู้มีความกตัญญู ก็ไม่รีรอที่จะกลับมาเยี่ยมบิดาที่บ้าน แต่ก่อนที่จะเข้าบ้าน ผู้เป็นแม่เลี้ยงบอกให้นางถอดเครื่องทรงราชินีออกให้หมด และไปอาบน้ำก่อนจึงค่อยไปพบบิดา แต่ด้วยอุบายของแม่เลี้ยง ทำให้เอื้อยพลาดท่าตกลงไปในกระทะน้ำเดือดที่นางแม่เลี้ยงซ่อนไว้เบื้องล่าง พระราชินีจึงสิ้นพระชนม์ในทันที
จากนั้น อ้ายจึงรีบแต่งเครื่องทรงพระราชินี และปลอมตัวกลับไปเป็นเอื้อย เพื่อเข้าไปพบพระราชา ด้วยมนต์สะกดที่อ้ายเสกไว้ จึงทำให้พระราชาหลงคิดว่าเอื้อยเป็นเมียของตน พระราชาจึงตกอยู่ใต้อำนาจของอ้าย แม้กระนั้นพระราชาก็ยังคงสงสัยว่า ทำไมต้นโพธิ์จึงดูเหี่ยวเฉาไม่มีชีวิตชีวาลงทุกทีๆ
หลังจากสิ้นพระชนม์ ราชินีเอื้อยก็ไปเกิดเป็นนกแขกเต้า ด้วยความรักและห่วงใยในพระราชา นกแขกเต้าจึงบินมาหาพระองค์และกราบทูลให้พระองค์ทราบเรื่องราวทั้งหมด หลังจากที่พระองค์ทราบเรื่อง จึงทรงเลี้ยงดูนกแขกเต้าเอาไว้ในกรงทอง และทรงพูดคุยด้วยอยู่เสมอ
ในที่สุด ราชินีปลอมอ้ายก็ทราบเรื่องของนกแขกเต้าตัวนี้ จึงวางแผนให้พระราชาเสด็จออกป่าเพื่อคล้องช้างเผือกมาสู่บารมี จากนั้น ราชินีปลอมก็จับนกแขกเต้าผู้น่าสงสารมาถอนขนจนหมด แล้วส่งไปให้แม่ครัวแกง นกแขกเต้าแกล้งทำเป็นนอนตาย ทำให้แม่ครัวไม่สนใจ จึงปล่อยมันไว้ในครัวเพื่อรอเวลาที่จะทำแกงนกถวายพระราชินีในตอนเย็น
นกแขกเต้าผู้ปราศจากขนพยายามหาโอกาสที่จะหนี เมื่อสบโอกาสจึงหนีเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในโพรงหนู  เมื่อแม่ครัว หานกที่นอนตายอยู่ไม่พบก็กลัวจะมีความผิด จึงสั่งให้ไปหาซื้อนกตัวอื่นมาแกงถวายพระราชินีแทน เมื่องานสำเร็จฝ่ายแม่ครัวก็ได้รับรางวัลตอบแทนเป็นผ้าสะไบจากราชินีปลอม
นกแขกเต้าผู้น่าสงสารแอบอาศัยอยู่ในรูหนูจนกระทั่งขนขึ้นเต็มตัว ก็บอกลาหนูแล้วเดินทางเข้าป่าไป ในขณะที่กำลังท่องเที่ยวไปในป่าตามลำพัง ก็เกือบจะถูกงูจับกิน แต่โชคดีที่นกใหญ่มาช่วยไว้ทัน ในที่สุด นกแขกเต้าก็มาพบกับพระฤๅษี
ด้วยความสงสาร พระฤาษีจึงช่วยแปลงกายนกแขกเต้าให้กลายเป็นหญิงสาวสวย พระฤๅษีเลี้ยงดูเอื้อยอย่างกับเป็นลูกสาวของตน แต่เอื้อยก็ยังคงเหงาหงอยอยู่ตลอดเวลา พระฤาษีจึงวาดรูปขึ้นมาหลาย ๆ รูป แล้วให้เอื้อยเลือกเอารูปเดียว หลังจากที่เลือกได้แล้ว ท่านก็จะเสกรูปนั้นให้กลายเป็นคน ท่านฤๅษีตั้งชื่อเด็กชายคนนั้นว่า “ ลบ ”
ผ่านไปหลายปี จนเจ้าลบเติบใหญ่ ก็เกิดความสงสัยว่าพ่อของตนเป็นใคร นางเอื้อยจึงเล่าเรื่องราวต่างๆให้ลบฟัง ทำให้ลบร้องขอที่จะเข้าไปในวังเพื่อกราบทูลพระเจ้าพรหมทัตให้ทรงทราบความจริง นางเอื้อยจึงได้ร้อยพวงมาลัยเพื่อฝากไปถวายพระเจ้าพรหมทัตด้วย
เมื่อลบเดินทางมาถึงพระราชวัง ก็หาทางจนสามารถเข้าเฝ้าและถวายพวงมาลัยให้แก่พระเจ้าพรหมทัตได้ เมื่อพระเจ้าพรหมทัตเห็นฝีมือร้อยมาลัย ก็จดจำได้ว่านี่เป็นฝีมือของเอื้อย ลบจึงกราบทูลเรื่องราวของเอื้อยทั้งหมดให้ทรงทราบ เมื่อพระเจ้าพรหมทัตรู้ว่าเอื้อยตัวจริงยังมีชีวิตอยู่ จึงเสด็จไปรับเอื้อยจากฤาษีเพื่อกลับคืนสู่พระราชวัง
ฝ่ายอ้ายเมื่อทราบว่าเอื้อยจะได้กลับมาที่พระราชวังอีกครั้ง ก็กลัวความผิด จึงชิงดืมยาพิษฆ่าตัวตายไปก่อน ส่วนนางกนิษฐีและอี่ก็ถูกพระเจ้าพรหมทัตลงโทษด้วยการขับออกนอกวัง และให้ถือศีลบำเพ็ญความดีตลอดชีวิต เอื้อยและต้นโพธิ์เงินโพธิ์ทองจึงกลับมามีชีวิตที่สงบสุขนับจากนั้นเป็นต้นมา

วันพุธที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

สุดยอดการต่อขนตาเส้นต่อเส้น Expert of Eyelashs Extension


♥ต่อขนตา♥ สาวๆที่สนใจอยาดต่อขนตาแวะอ่านก่อนนะจ๊ะ


 เค้าใช้อะไรต่อขนตา?
- เป็นเส้นไหมสังเคราห์ค่ะ ซึ่งมีหลายแบบมาก มีทั้งแบบเส้นบางธรรมชาติ เส้นหนา แบบงอนมากงอนน้อย และมีความยาวให้เลือก ขึ้นอยู่กับร้านที่ใช้ค่ะ



 เส้นไหมธรรมดากับไหมญี่ปุ่นแตกต่างกันยังไง?
- ราคาและตัวไหมค่ะ ไหมญี่ปุ่นจะเป็นไหมเส้นเล็ก ธรรมชาติใกล้จิงกับขนตาจิงมาก ราคาแพงกว่าไหมธรรมดา ส่วนไหมธรรมดาเหมาะสำหรับสาวๆที่ชอบอะไรเกินธรรมชาติ เหมือนเวลาติดขนตาปลอม เพราะตัวไหมจะเส้นหนา แข็งและยาวกว่า

 ราคาประมาณเท่าไร?
- มีหลายราคาค่ะตั้งแต่ 300-1000 บาทค่ะ ขึ้นอยู่กับตัวไหมที่ต่อ

 ต่อขนตาเป็นอันตรายมั๊ย?
- ไม่เป็นอันตรายค่ะ! แต่ที่สำคัญเลยคือควรเลือกร้านที่มีช่างที่มีประสบการณ์และมีความชำนาญด้านการต่อขนตา เครื่องมือและร้านต้องสะอาดด้วยค่ะ

 ต่อขนตาสามารถอยู่ได้นานเท่าไร?
- การต่อขนตาถาวร หลายคนอาจเข้าใจผิดที่ชื่อบอกว่าถาวร อยู่ได้นานตลอด แต่จิงๆแล้วขนตาที่ต่ออยู่ได้นานตามวิธีการดูแลรักษาของเราค่ะและขึ้นอยู่กับกาวต่อที่ใช้ของแต่ละร้านด้วย ประมาณ2อาทิตย์-1เดือน ถ้าคนที่ดูแลดีๆก้สามารถอยู่ได้เดือนกว่าๆเลย

 ก่อนต่อขนตาต้องเตรียมตัวอะไรบ้าง?
- ควรเช็ดเครื่องสำอางค์ อายไลน์เนอร์ และทำตวามสะอาดรอบด้วงตาให้สะอาด สามารถทาครีมบำรุง กันแดดรองพื้นได้ปกติค่ะ

 จะระคายเคืองตามั๊ยถ้าต่อมา?
ใครที่ต่อครั้งแรก รับรองว่าต้องยังไม่ชินค่ะ อาจจะมีการเคืองๆ หนักๆที่ตาบ้าง บางคนทนไม่ไหวจนต้องดึงออกก้มี แต่กิฟแนะนำนะคะสำหรับใครที่ต่อครั้งแรกควรต่อแบบไหมญี่ปุ่น เพาะที่ความนิ่มบางและเป็นธรรมชาติ ไม่ค่อยเคืองตาค่ะ แต่ถ้าใครที่ต่อมาแล้วทนไม่ไหวจิงๆ สามารถไปที่ร้านเพื่อให้เค้าเช็ดน้ำยาถอดออกให้ได้ โดยที่ขนตาจิงเราจะได้ไม่หลุดร่วงค่ะ

 เค้าใช้กาวอะไรต่อขนตา?
- เป็นกาวที่ใช้สำหรับต่อขนตาโดยเฉพาะค่ะ ถ้าถามว่าแสบมั๊ย อาจจะแสบบ้างเล็กน้อย สำหรับคนที่มีดวงตาไวต่อความรุสึกนะคะ ใส่ใครที่ใส่คอนแทคเลนต่อจะไม่ค่อยแสบทะไรค่ะ ต้อรอให้กาวแห้งสนิทดีซะก่อนแล้วค่อยลืมตา หลังจากนั้นไม่มีปันหาเรื่องแสบตาค่ะ

 ใช้เวลาต่อครั้งนึงนานมั๊ย?
- ประมาณ 1 ชม.ค่ะ เพาะเป็นงานที่ต้องใช้ความปราณีตและฝีมือล้วนๆค่ะ เส้นต่อเส้น เพราะฉะนั้นถ้าใครที่อยากต่อจะต้องหาเวลาว่างหน่อยนะคะ

 ต่อไปแล้วขนตาจิงจะร่วงมั๊ย?
- ถ้าเราไม่ดึงรึขยี้ตา สัมผัสแรงๆก้ไม่ร่วงค่ะ ก้ต้องมีบ้างค่ะนิดหน่อย แต่ถ้าเราโรคจิตไปดึงเล่นรับรองว่าขนตาจิงหลุดหมดแน่ๆ ทางที่ดีควรกลับไปที่ร้านเพื่อให้เค้าใช้น้ำยาเช็ดถอดออกให้นะคะ 

 สามารถเลือกแบบหรือความยาวได้มั๊ย?
- บอกช่างได้เลยค่ะจะเอายาวขนาดไหน 

 แล้วการดูแลรักษาล่ะ?
- ควรล้างหน้าด้วยน้ำอุณภูมิธรรมดานะคะ ไม่ควรใช้น้ำอุ่นล้างหน้าเพราะจะทำให้กาวละลายได้ อย่าขี้ตาแรงๆ เวลาล้างเส็ดให้ให้หลับตาแล้วใช้ถ้าขนนู๋ผืนเล็กค่อยๆซับน้ำบริเวณขนตา แล้วใช้หวีแปรงขนตาหวีเพื่อจัดเรียงเส้นของขนตาให้สวยเด้งเหมือนเดิ่มค่า











BOOM BOOM CASH - Drink and drunk [ OFFICIAL MV ]













วันพุธที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2558

มะเขือเทศ


มะเขือเทศ
มะเขือเทศ ( Tomato ) เป็นพืชชนิดหนึ่งที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหาร มะเขือเทศขนาดปานกลางจะมีปริมาณวิตามินซีครึ่งหนึ่งของส้มโอทั้งผล มะเขือเทศผลหนึ่งจะมีวิตามินเอราว 1 ใน 3 ของวิตามินเอที่ร่างกายต้องการในหนึ่งวัน นอกจากนี้มะเขือเทศยังมีโปแตสเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียมและแร่ธาตุอื่นๆ อีกหลายชนิด
ลักษณะเป็นพืชล้มลุกอายุเพียง 1 ปี ลำต้นตั้งตรง มีลักษณะเป็นพุ่ม มีขนอ่อน ๆ ปกคลุม ใบเป็นใบประกอบ ออกสลับกัน ใบย่อยมีขนาดไม่เท่ากัน บางใบเล็กรียาว บางใบกลมใหญ่ ปลายใบแหลม ขอบใบเป็นหยักลึกคล้ายฟันเลื่อยมีขนอ่อน ๆ ออกดอกเป็นช่อหรือดอกเดี่ยว บริเวณซอกใบ ดอกมีสีเหลือง มีกลีบเลี้ยงสีเขียวประมาณ 5-6 กลีบ ผลเป็นผลเดี่ยว มีขนาดรูปร่างและสีต่างกัน ซึ่งมีขนาดเล็กประมาณ 3 เซนติเมตร จนถึงใหญ่ประมาณ 10 เซนติเมตร รูปร่างมีทั้งกลม กลมแบน หรือกลมรี ผิวนอกลีบเป็นมัน ผลดิบมีสีเขียว หรือเขียวอมเทา เมื่อสุกจะมีสีเหลือง สีส้ม หรือสีแดง เนื้อภายในฉ่ำด้วยน้ำมีรสเปรี้ยว เมล็ดมีเป็นจำนวนมาก มะเขือเทศมีหลายพันธุ์ เช่น พันธุ์สีดา พันธุ์โรมาเรดเพียร์ เป็นต้น

 

ประโยชน์ของมะเขือเทศ
1.) มะเขือเทศมีสารที่สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อรา ดังนั้นจึงใช้เป็นยารักษาโรคที่เกี่ยวกับปากที่เกิดจากเชื้อราได้
2.) มะเขือเทศมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ คือ ไลโคปีน ที่มีคุณสมบัติสามารถลดการเกิดมะเร็งลำไส้ และมะเร็งต่อมลูกหมากได้ หากทานมะเขือเทศ 10 ครั้ง/สัปดาห์ จะช่วยลดอัตราการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากในเพศชายได้ถึง 45% นอกจากนี้มะเขือเทศยังมีบีตา-แคโรทีน และฟอสฟอรัสมาก ที่มะเขือเทศมีรสชาติอร่อยนั้น เพราะมีกรดอะมิโนที่ชื่อกลูตามิคสูง กรดอะมิโนนี้เองเป็นตัวเพิ่มรสชาติให้อาหาร ทั้งยังเป็นกรดอะมิโนตัวเดียวกับที่อยู่ในผงชูรสด้วย
3.) รักษาสิว สมานผิวหน้าให้เต่งตึง โดยใช้น้ำมะเขือเทศพอกหน้า หรืออาจจะนำมะเขือเทศสุกฝานบาง ๆ แปะบนใบหน้า จะช่วยให้ผิวหน้าอ่อนนุ่ม
4.) ในผลมะเขือเทศมีสารจำพวก แคโรทีนอยด์ ชื่อไลโคพีน (Lycopene) ซึ่งเป็นสารสีแดง และวิตามินหลายชนิด เช่น วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินเค โดยเฉพาะวิตามินเอ และวิตามินซี มีในปริมาณสูง มีกลดมาลิค กรดซิตริก ซึ่งให้รสเปรี้ยว และมีกลูตามิค (Glutamic) ซึ่งเป็นกรดอะมิโนช่วยเพิ่มรสชาติให้อาหาร นอกจากนี้ยังประกอบด้วยสารบีตา-แคโรทีน และแร่ธาตุหลายชนิด เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก เป็นต้น
5.) มะเขือเทศมีสรรพคุณทางยาค่อนข้างสูง เพราะมะเขือเทศมี วิตามินพี (citrin) ซึ่งจะช่วยป้องกันการแข็งตัวของหลอดเลือด มะเขือเทศยังมีฤทธิ์ขับปัสสาวะจึงสามารถแก้อาการความดันโลหิตสูง มะเขือเทศมีวิตามินเอจึงสามารถรักษาโรคตาได้ ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือมีวิตามินซีมากทำให้สามารถป้องกันและรักษาโรคลักปิดลักเปิด ช่วยระบบการย่อยและช่วยการขับถ่ายอุจจาระอีกด้วย
6.) ช่วยบำรุงผิวลดริ้วรอย ผิวพรรณไม่แห้งกร้าน ระบบการหมุนเวียนเลือดดีขึ้น และยังสามารถต้านมะเร็งได้ด้วย
7.) ซอสมะเขือเทศสามารถนำมาใช้หมักผมได้ โดยจะช่วยป้องกันการเปลี่ยนไปของสีผมอันเนื่องมาจากการว่ายในน้ำในสระที่มี คลอรีน และยังนำมาใช้ขัดเครื่องประดับเงินชิ้นโปรดของคุณให้เงางามได้เหมือนเดิม